top of page

Our 
Story

ABOUT US

Marketing Insight คือสื่อด้านการตลาดและธุรกิจ มุ่งอัปเดตเทรนด์ใหม่ต่างๆรอบตัว รวมถึงข่าวสารด้านธุรกิจที่เชื่อมโยงชีวิตผู้คน เพื่อจุดประกายไอเดียความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ให้ผู้คนกล้าลองทำสิ่งใหม่ๆ  

Marketing - Strategy - Trend and Lifestyle

ธนาคารกสิกรไทย เคแบงก์ ไพรเวทแบงก์กิ้ง และลอมบาร์ด โอเดียร์ ร่วมขับเคลื่อนประเทศ ตามแนวคิด RETHINK SUSTAINABILITYผลักดัน 4 อุตสาหกรรมหลัก เพื่อปฏิวัติและปฏิบัติสู่ความยั่งยืน

  • รูปภาพนักเขียน: Boonnada Phetnui
    Boonnada Phetnui
  • 29 ก.พ. 2567
  • ยาว 2 นาที

ธนาคารกสิกรไทย โดย เคแบงก์ ไพรเวทแบงก์กิ้ง และลอมบาร์ด โอเดียร์ ร่วมจัดงานเสวนาด้านความยั่งยืน ‘RETHINK SUSTAINABILITY: A CALL TO ACTION FOR THAILAND’ เพื่อผลักดันและเร่งให้เกิดการลงมือทำเพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่ความยั่งยืน จากการเล็งเห็นความสำคัญของการขับเคลื่อนร่วมกัน ทั้งจากภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม และภาคการลงทุน เพื่อสร้างเศรษฐกิจและเพิ่มการลงทุนในธุรกิจที่สามารถสร้างความยั่งยืนแห่งอนาคต ครอบคลุมทั้งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อาหารและการเกษตร ปิโตรเคมี และพลังงานหมุนเวียน พร้อมตอกย้ำบทบาทสำคัญของนักลงทุนในการสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลง อีกทั้งชี้โอกาสในการลงทุนเพื่อความยั่งยืนด้วยเม็ดเงินในการกระจายการลงทุนมูลค่ามหาศาลถึง 34 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (หรือกว่า 1.2 พันล้านล้านบาท) ภายในปีพ.ศ. 2573[1]

การเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ ถือเป็นความท้าทายทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะความพยายามในการทำให้อุณหภูมิโลกไม่เพิ่มเกินกว่า 1.5 องศาเซลเซียส รวมถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปีพ.ศ. 2593 ดังนั้นทุกภาคส่วนทั้งภาคธุรกิจและประชาชนจะต้องปรับตัวเพื่อมุ่งไปสู่ความยั่งยืนร่วมกัน

‘RETHINK SUSTAINABILITY: A CALL TO ACTION FOR THAILAND’ งานเสวนาด้านความยั่งยืนแห่งปี จึงจัดขึ้นเพื่อมุ่งเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้เศรษฐกิจประเทศไทยก้าวไปสู่ความยั่งยืน ตาม แนวคิด‘RETHINK SUSTAINABILITY’ เพื่อกระตุ้นให้ประเทศไทยเล็งเห็นถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงเพื่อมุ่งไปสู่ความยั่งยืน ด้วยการยึดโมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียนและ CLIC® Economy  มาเป็นแกนหลักในการเป็นจุดเริ่มต้นเพื่อสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นในระยะยาว ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ สร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะยาว ตลอดจนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปสู่ความยั่งยืนในอนาคต

 

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า “ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความยั่งยืน ประกอบด้วย 4 แรงขับเคลื่อนสำคัญ ได้แก่ การกำหนดนโยบายและกฎเกณฑ์จากภาครัฐ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรม และการเลือกลงทุนของนักลงทุน แต่ละภาคส่วนล้วนมีบทบาทที่แตกต่างกันในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และต้องอาศัยความร่วมมือจึงจะบรรลุเป้าหมายในการขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อก้าวไปสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง ในฐานะสถาบันการเงิน ธนาคารกสิกรไทยมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยเพื่อก้าวสู่ Net Zero อย่างจริงจัง ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการจัดงานเสวนาในครั้งนี้ ที่เชื่อมโยงทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน เพื่อร่วมกันผลักดันการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจริง”

นาย อูแบร์ เคลเลอร์  Senior Managing Partner, Lombard Odier กล่าวว่า “ลอมบาร์ด โอเดียร์ เชื่อว่าธรรมชาติเป็นสินทรัพย์ที่ถูกมองว่ามีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง ทั้งๆ ที่ทรัพยากรธรรมชาติเป็นสินทรัพย์ที่มีความจำเป็นและสำคัญต่อเศรษฐกิจในการสร้างผลผลิตรวมถึงโอกาสการลงทุนได้อย่างมหาศาล ตอนนี้เรากำลังมองไปที่การเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ครั้งใหม่ ที่วางให้ธรรมชาติเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจ ดังนั้น เราจึงต้องให้ความสำคัญและหันมาสร้างคุณค่าจากธรรมชาติให้มากขึ้นและยังต้องสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้เพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่อนาคตที่ยั่งยืน”


งานเสวนาแห่งปี ‘RETHINK SUSTAINABILITY: A CALL TO ACTION FOR THAILAND’ ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานสำคัญทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อร่วมกันสร้างแรงขับเคลื่อนความยั่งยืนให้เกิดขึ้นจริง ไม่ว่าจะเป็น กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย  บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน)  บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) และบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) รวมถึงหน่วยงานระดับโลกอย่าง Systemiq และ The Alliance to End Plastic Waste    ที่มาร่วมแบ่งปัน แลกเปลี่ยนมุมมอง แนวคิด ตลอดจนบทบาทและแนวทางปฏิบัติ เพื่อหารือร่วมกันในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ความยั่งยืน  ครอบคลุมประเด็นต่างๆ ได้แก่


การปรับตัวให้ทันเศรษฐกิจโลก เพื่อสร้างโอกาสการเปลี่ยนแปลงสู่เศรษฐกิจไทย

เน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจโลก รวมถึงประเทศไทยเพื่อมุ่งไปสู่ความยั่งยืน ตลอดจนความท้าทายและโอกาสจากการเปลี่ยนผ่านไปสู่ Net Zero ในเรื่องนโยบายและกฎเกณฑ์จากทางภาครัฐ การสร้างระบบนิเวศและแพลตฟอร์มที่จำเป็นในการเปลี่ยนผ่านเพื่อนำมาซึ่งประโยชน์กับทั้งสังคม ชุมชนและสิ่งแวดล้อม


สร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ

อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการเป็นต้นตอของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงถึงร้อยละ 8 จากจำนวนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด[2]  จึงเป็นเรื่องสำคัญในการระดมความคิด เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหา เปลี่ยนแปลงวิถีการท่องเที่ยวให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น  พร้อมคว้าโอกาสในการลงทุนจากอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการสร้าง GDP รวมของโลกได้สูงถึงร้อยละ 10[3]  

ระบบอาหารแห่งอนาคต บริโภคอย่างยั่งยืน เพื่อโลกที่ยั่งยืน


ปัจจุบันทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลงของจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น คาดว่าภายในปี 2593 จะมีจำนวนประชากรเพิ่มราว               1 หมื่นล้านคน นำไปสู่ความต้องการด้านอุปโภค บริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 60-100[4] การเสวนานี้เน้นเจาะลึกประเด็นด้านการเกษตร ห่วงโซ่อาหาร และแนวทางการผลิตรูปแบบใหม่ที่ใช้ทรัพยากรน้อยลง แต่สร้างผลิตผลที่เพิ่มขึ้นด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยีการผลิตใหม่ที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม

 

พลาสติกหมุนเวียน อุตสาหกรรมเคมีแห่งอนาคต

อุตสาหกรรมเคมีในการผลิตพลาสติกรูปแบบใหม่ ผ่านแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน  ซึ่งเป็นแนวทางที่จะสร้างความยั่งยืนแก่สิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าในอนาคต พลาสติกจะเป็นสินทรัพย์แห่งอนาคตโดยต้องอาศัยเม็ดเงินลงทุนด้านนี้ราว 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี พ.ศ.2583[5]

อนาคตพลังงานทางเลือกของประเทศไทย กับโอกาสในการลงทุน

ก๊าซเรือนกระจกกว่าร้อยละ 73 มาจากการเผาไหม้ถ่านหิน  น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ[6]  ดังนั้นการปรับเปลี่ยนรูปแบบของพลังงานดังกล่าวมาเป็นพลังงานไฟฟ้าจึงมีความสำคัญ  ในช่วงนี้จะเป็นการแบ่งปันองค์ความรู้และแนวทางในการปรับเปลี่ยนไปสู่การใช้พลังงานไฟฟ้ารูปแบบใหม่ เพื่อโลกที่สะอาดและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

          นายพิพิธ เอนกนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า “การเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนถือเป็นภารกิจระดับโลก ประเทศผู้นำที่มีความพร้อมสามารถกำหนดนโยบายด้านความยั่งยืนที่อาจส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อทุกประเทศ  และเป็นปัจจัยหนึ่งที่สร้างความท้าทายเป็นอย่างมากต่อประเทศไทย งานเสวนาด้านความยั่งยืนในครั้งนี้จึงเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของธนาคารกสิกรไทยในการเป็นองค์กรที่เพิ่มอำนาจให้ทุกชีวิตและธุรกิจของลูกค้า (To Empower Every Customer’s Life and Business) เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนผ่านบทบาทในการส่งเสริมเงินทุนเพื่อสนับสนุนธุรกิจที่ยั่งยืน โดยเชื่อมั่นในการร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้น”

นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Executive Chairman, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า“เราเชื่อมั่นว่าในอนาคตการลงทุนในธุรกิจที่ยั่งยืน ไม่ว่าองค์กรเหล่านั้นจะเป็นกลุ่มธุรกิจที่นำเสนอแนวทางและผลิตภัณฑ์ที่ช่วยแก้ปัญหาการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Solution Providers) หรือกลุ่มธุรกิจที่ปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต และ/หรือ รูปแบบการดำเนินธุรกิจเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero (Transition Candidates)  กลุ่มเหล่านี้เป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจไปสู่ความยั่งยืนได้ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของลอมบาร์ด โอเดียร์ ที่ผลักดันแนวคิด CLIC® Economy เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่ Net Zero ดังนั้น  เคแบงก์ ไพรเวทแบงก์กิ้ง ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการให้คำแนะนำการลงทุนจึงมุ่งส่งเสริมให้นักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ ให้เป็นแกนนำสำคัญในการขับเคลื่อนเปลี่ยนแปลงโลกอย่างยั่งยืน ผ่านการลงทุนด้วยกลยุทธ์ที่เหมาะสม เน้นลงทุนในธุรกิจและสินทรัพย์ที่มีการสนับสนุนเศรษฐกิจที่สร้างความยั่งยืนแก่โลก”


งานเสวนา “RETHINK SUSTAINABILITY: A Call to Action for Thailand" เป็นงานเสวนาด้านความยั่งยืนแห่งปี ภายใต้ความร่วมมือ ระหว่างธนาคารกสิกรไทย  เคแบงก์ ไพรเวทแบงก์กิ้ง บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด และลอมบาร์ด โอเดียร์ เพื่อร่วมกันผลักดันประเทศไทยให้เปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมแห่งความยั่งยืนในอนาคต


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมของงาน RETHINK SUSTAINABILITY: A CALL TO ACTION FOR THAILAND ได้ที่ : https://www.kasikornbank.com/en/News/Pages/rethink-sustainability-forum.aspx

 

# # #

 

 

 

เกี่ยวกับ Lombard Odier (ลอมบาร์ด โอเดียร์)

ลอมบาร์ด โอเดียร์ คือผู้นำด้านการบริหารจัดการสินทรัพย์และความมั่งคั่งระดับโลก ด้วยประสบการณ์กว่า 225 ปี และการผ่านวิกฤตทางการเงินมาถึง 40 ครั้ง ลอมบาร์ด โอเดียร์ ได้ผสมผสานนวัตกรรมและองค์ความรู้อย่างรอบคอบ เพื่อสอดรับกับผลประโยชน์ระยะยาวของลูกค้าทั้งภาคเอกชนและระดับสถาบัน กลุ่มบริษัทของเราบริหารและถือครองโดยกลุ่มผู้ถือหุ้น ด้วยสภาพคล่องทางการเงินสูงและการบริหารเงินทุนที่ดีเยี่ยม โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ (CET1) อยู่ที่ 32% และการจัดอันดับคะแนนความน่าเชื่อถือโดย Fitch Rating ที่ AA-

 

ลอมบาร์ด โอเดียร์ นำเสนอบริการด้านความมั่งคั่งอย่างครบวงจร อันประกอบไปด้วย การวางแผนการส่งต่อทรัพย์สิน การให้คำปรึกษาและบริหารพอร์ตแบบจัดการเบ็ดเสร็จ และการรับฝากและดูแลหลักทรัพย์ ส่วนการบริการจัดการสินทรัพย์จะได้รับการดูแลโดยผู้จัดการการลงทุนของ ลอมบาร์ด โอเดียร์ (LOIM) นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทของเรายังได้พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการธนาคารที่ทันสมัยให้กับสถาบันทางการเงินอื่นๆ อีกหลายแห่ง

 

กลุ่มบริษัทของเราดูแลสินทรัพย์รวมของลูกค้าจำนวน 351 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2563) และมีสำนักงานใหญ่ ณ กรุงเจนีวาตั้งแต่ค.ศ. 1796 โดยในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2563 กลุ่มบริษัทของเรามีสำนักงานรวม 26 สาขาใน 19 เขต และพนักงานรวม 2,900 คน

 

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.lombardodier.com 

 

Lombard Odier (สิงคโปร์) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Lombard Odier Group เป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับสถาบันการเงินท้องถิ่นในเอเชียแปซิฟิก รวมถึงธนาคารกสิกรไทย เคแบงก์ ไพรเวท แบงก์กิ้ง ในประเทศไทย Mizuho Financial Group ในประเทศญี่ปุ่น Mizuho Securities (สิงคโปร์), ธนาคารไทเปฟู่ปัง (Taipei Fubon Bank),  UnionBank Private Banking ในฟิลิปปินส์ และ JBWere ในออสเตรเลีย

 

เกี่ยวกับ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)

ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBank) ก่อตั้งเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2488  ตลอดระยะเวลากว่า 70 ปี ธนาคารมุ่งมั่นพัฒนาองค์กรและผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่อย่างสม่ำเสมอ ธนาคารกสิกรไทยดำเนินธุรกิจบนหลักการเป็นธนาคารแห่งความยั่งยืนภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่ดี และการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม สร้างความสมดุลทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ผ่านยุทธศาสตร์หลักในการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และปณิธาน “บริการทุกระดับประทับใจ” เพื่อให้บรรลุความมุ่งหมายในการเพิ่มอำนาจให้ทุกชีวิตและธุรกิจของลูกค้า สอดประสานการทำงานร่วมกันระหว่างธนาคารกสิกรไทย บริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินธนาคารกสิกรไทย ธุรกิจสตาร์ทอัพ และพันธมิตรทางธุรกิจ ภายใต้แบรนด์หนึ่งเดียวในชื่อธนาคารกสิกรไทย (KASIKORNBANK)

 

ธนาคารกสิกรไทย มุ่งมั่นเป็นกลุ่มธุรกิจทางการเงินที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ที่ริเริ่มในสิ่งใหม่ ก้าวทันการเปลี่ยนแปลง ผ่านการผสมผสานการใช้เทคโนโลยีและทรัพยากรมนุษย์ เพื่อส่งมอบบริการทางการเงินที่มีคุณภาพ มาตรฐานสากล และสร้างความยั่งยืนแก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ข้อมูลเพิ่มเติม  www.kasikornbank.com

 

 

เกี่ยวกับ KBank Private Banking

KBank Private Banking ให้บริการการบริหารความมั่งคั่งอย่างครบวงจร ด้วยมาตรฐานระดับสากล แก่ลูกค้าธนาคารกสิกรไทย ที่มีเงินฝากและเงินลงทุนกับธนาคาร ตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป โดยให้บริการในทุกมิติที่เกี่ยวข้องกับการเก็บรักษา สร้างความเติบโต และส่งต่อความมั่งคั่ง ครอบคลุมทุกประเภททรัพย์สิน ทั้งทรัพย์สินทางการเงิน ธุรกิจครอบครัว อสังหาริมทรัพย์และทรัพย์สินอื่นๆ ด้วยความร่วมมือจากพันธมิตรระดับโลก Lombard Odier ทำให้ KBank Private Banking สามารถตอบสนองทุกโอกาสการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อส่งมอบความมั่งคั่งที่สมบูรณ์แบบและชีวิตที่ไร้กังวล แก่ลูกค้าคนสำคัญของธนาคาร

 

 


[5] UNEP (2023) ‘Turning off the Tap: How the world can end plastic pollution and create a circular economy’.

コメント

5つ星のうち0と評価されています。
まだ評価がありません

評価を追加

Marketing Insight

©2024 by Marketing Insight. 

bottom of page